เส้นทางรัก

หลังจากเดินเล่นตลาดน้ำ เมื่อตอนเช้าวันเสาร์ ช่วงบ่ายก็เตรียมตัวไปต่างจังหวัดเพื่อไปงานแต่งงานของเพื่อน ม.ปลายอีกคน ที่เพชรบูรณ์

เจ้าบ่าวเกษมและเจ้าสาวแหม่ม



นัดกันกับเพื่อนอีก 2 คน คุณกิติพงษ์กับคุณสุกิจ ว่าจะไปด้วยกัน ทริปนี้ก็เป็นคนขับรถเหมือนตอนเช้า แต่ไม่ใช่รถตัวเอง... เหตุเพราะคุณกิติพงษ์ โดนเสี่ยอ๊อดพาไปตระเวนคลายร้อน หลังจากไปร่วม งานของฉัตฤกษ์ เมื่อคืนที่ผ่านมา วันนี้เลยขอตัวนอนพักผ่อนเอาแรงบนรถ



ออกจากเซ็นทรัล บ่าย 2 โมงกว่าๆ ขับออกไปทางถนนวงแหวนตะวันออกมุ่งสู่บางปะอิน เพื่อนร่วมทางนั่งหลับตั้งแต่ ครึ่งทางของถนนวงแหวน ก่อนจะเดินทางวันนี้ก็เตรียมตัวเปิดดูแผนที่ทางไปจาก Google Map ก็ดูไปงั้นๆแหละ ไปง่ายจะตาย จะยากก็ตอนหลงทางเท่านั้นแหละ... ( กลัวหลงซะจริงๆเลย... อยากได้ GPS รอสุดที่รักอนุมัติ )



พอใกล้ถึงบางปะอิน ก็มีโทรศัพท์เข้ามา...

"พวกคุณออกมาจากกรุงเทพหรือยัง.....อยู่แถวไหนแล้ว!!!"

เพื่อนๆที่ไปงานเช่นกัน แต่ว่าออกเดินทางกันไปตั้งแต่เช้าคือ ดิวกับยศ
คุณสุกิจ เป็นคนรับโทรศัพท์ก็บอกว่า "ยังไม่ถึงบางปะอินเลย....."

"เอ๊ยเร็วๆหน่อยซิ.... ก่อนถึงสระบุรีก็ออกเลี่ยงเมืองไม่ต้องผ่านตัวเมืองสระบุรีให้รถติด จะได้มาเร็วๆไม่ค่อยมีรถ แต่ระวังวิ่งขวาก็ดูๆตำรวจด้วย...." ต้นสายแนะนำเส้นทาง

"...ยังไม่ถึงบางปะอินเลย... อีกซักชั่วโมงค่อยโทรมาบอกก็ได้....." คุณสุกิจโต้ตอบไปทันควัน
ไม่รู้จะรีบบอกทำไม...... นึกในใจ

หลังจากนั้นก็ขับต่อกันไปซักพักใหญ่ๆก็มีโทรศัพท์เข้ามาอีก

"ถึงไหนกันแล้วว่ะ...."

ในใจคิดว่า มันนึกว่าขับเครื่องบินไปหรือไงฟร่ะ.... ยังไม่ทันถึงไหนเลย... โทรมาถามอีกแล้ว
จะรีบไปไหนกัน... น่าจะยืมเครื่องบินฉัตฤกษ์มาขับไปเพชรบูรณ์ซะก็ดี

ระยะทางก็ไกลอยู่เหมือนกัน โชคดีที่รถน้อยไม่ค่อยติดเท่าไหร่ จึงไปถึงที่พักประมาณ 5 โมงเย็น

ที่พักชื่อว่าโรงแรมปิยะมิตร



ดูจากด้านนอกก็คล้ายๆกับรีสอร์ทปรกติธรรมดา แต่พอเลี้ยวรถเข้าไป



....แค่คิดเฉยๆ ยังมิทันพูดอะไร สุกิจก็ทักขึ้นมาก่อนว่า "ทำไมห้องพักมันเหมือนม่านรูดจังว่ะ..."
อืม... นั่นดิ...

แต่เป็นแค่ด้านหน้าของรีสอร์ทเท่านั้น ส่วนด้านในก็มีบ้านพักเป็นหลังๆ
ที่พักค่อนข้างสวยและใหม่ แล้วก็บ้านพักที่พวกเราพักนั้น ดูเมื่อจะเพิ่งทำเสร็จเพราะดูจากการเดินสายไฟมาที่บ้านพัก... ยังลากอยู่กับพื้นอยู่เลย



แต่รวมๆก็สวยดี ใช้ได้ๆ ด้านหลังห้องพักติดแม่น้ำ ถ้าเป็นฤดูที่มีน้ำเยอะคงจะสวยมากทีเดียว



แต่วันนี้น้ำออกจะแห้งไปซักหน่อย ก็เป็นที่น่าสงสัยว่า ละแวกแถวนั้นไม่น่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซักเท่าไหร่ แต่ทำไมมีรีสอร์ทมาตั้งแถวนี้...
( แอบไปเอารูปมาจากเว็บไซท์ของโรงแรมเค้า ไม่ได้ไปถ่ายเอง... )

ยังไม่ทันได้หายเมื่อยหลังจากขับมือเดียวมาถึงเพชรบูรณ์

"เอ๊ย...ไปช่วยยกต้นไม้กันหน่อยดิ.... ไม่มีคนช่วยเลย" ว่าที่เจ้าบ่าวเอ่ยปาก

ว่าแล้วเชียว... ไอ้ที่โทรไปเร่งยิกๆๆ ก็อยากให้มาช่วยงานเร็วๆซะงั้น
แล้วก็ออกเดินทางต่อไปยังบ้านงาน



ไปถึงบ้านงาน ก็ช่วยกันเตรียมจัดต้นไม้ แขวนรูปหน้างาน จัดโต๊ะวางกล่องใส่ซอง ระหว่างนั้นก็มีสมาชิกเดินทางมาสมทบอีก 2 คน พี่นคร กับ ชวลิต ก็โดนเรียกมาช่วยกันทำซะเลย
ก็จัดนู่นจัดนี่ไป จนเเพื่อนคนนึงทักขึ้นมาว่า

"เสร็จหรือยัง จะได้กลับไปนอน... จะ 4 ทุ่มแล้ว"

เอ๊ย...แป๊ปเดียวเอง...จะ 4 ทุ่มแล้ว?

ระหว่างกลับก็แวะซื้อเสบียง กะว่าจะกลับไปตั้งวงคุยกันซะหน่อย ตอนแรกเห็นบอกว่าจะมีตั้งวงไพ่ด้วย แต่ว่าสมาชิกวงไพ่มีน้อย (พี่นคร ชวลิต กิติพงษ์) เลยสรุปว่าล้มวงไพ่ เหลือแต่วงเบียร์แทน

ตามประสาคนอายุใกล้ 40 ก็นั่งคุยกันแต่เรื่องตอนสมัยเรียนทำวีระกรรมอะไรบ้าง เริ่มดึกขึ้นอีกนิด เบียร์หมดไปอีกขวด เริ่มเกี่ยวกับเรื่อง อกหักรักคุดตุ๊ดเมิน พอกับแกล้มเริ่มหมด เหลือแต่เบียร์เพียวๆ ก็คุยเรื่องธรรมะ กฎแห่งกรรม..... นี่ถ้าตอนเช้าไม่ได้ไปงานแต่ง... สงสัยคงคุยกันจนชวนกันไปบวชไม่สึกเป็นแน่...

อากาศไม่ค่อยจะเย็นเท่าไหร่แต่ทำไมน้ำให้ห้องน้ำถึงหนาวเหลือเกิน โชคดีที่ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ก็ยังมีบางคนซักแห้ง....

วันรุ่งขึ้นก็มีเพื่อนมาสมทบกันอีก 3 คน คุณชัยยันต์ คุณชลรัฐ แล้วก็คุณอมรเทพ
ไปถึงบ้านงานประมาณ 6.30 เจอเจ้าบ่าวสุดหล่อ แล้วก็เกณฑ์ให้ไปช่วยถือของในขบวนขันหมาก ด่อมๆมองๆจะจองถืออะไรดี สุดท้ายได้ต้นกล้วย แล้วก็ไปยืนหน้าขบวนเลย เริ่มเคลื่อนขบวนก็ประมาณ 6.59

เสร็จพิธีเช้าก็ประมาณ 8 โมง เจ้าภาพมีอาหารเช้าเลี้ยงแขกเป็น ข้าวต้มเครื่อง และที่ขาดไม่ได้ ไก่ย่าง วิเชียรบุรี หมดไป 3 จาน

หลังจากนั้นก็นั่งคุยกันซักพัก ก่อนจะกลับไปนอนพักผ่อนที่โรงแรมกันต่อ เพื่อรองานช่วง 10 โมง...

10 โมงแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกไปกันเลย เพราะว่ายังง่วงๆกันอยู่ กว่าจะได้ไปจริงๆก็ 11 โมงได้ ไปถึงก็รอกิน นั่งคุยไปกินไปจนเกือบ บ่าย 2 ก็ถึงเวลาที่จะไปเข้าโบสถ์ทำพิธีทางศาสนาคริสต์
จากบ้านงานไปอีกไกลพอควร ประมาณ 10 กิโล ผ่านทุ่งนาหมู่บ้าน มานั่งคุยกันว่าแถวนี้มีโบสถ์ด้วยรึ? แถมระหว่างทาง ไม่ค่อยจะมีสัญญาณมือถืออีกต่างหาก



ยิ่งขับไปก็ยิ่งนึกว่าพวกเราหลงกันหรือเปล่าเนี๊ยะ รู้งี้ขับออกมาพร้อมขบวนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวซะก็ดี เพราะว่าตอนออกมาคิดว่าคงจะไปง่ายๆ สุดท้ายก็ถึงจนได้นึกว่าหลงซะแล้ว....




พิธีก็เรียบๆง่ายๆ คล้ายๆกับดูหนังฝรั่งตอนเค้าแต่งงานกันในโบสถ์ ฝ่ายสนับสนุนค่อนข้างจะซาบซึ้ง นั่งอยู่เก้าอี้ด้านหลังหลับตาอยู่ในความสงบกันเกือบทุกคน ( ผงกหัว..หงึกๆ ดีที่ไม่กรน... )





หลังพิธีก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็แยกย้ายกันกลับ ออกจากเพชรบูรณ์ ประมาณ 4 โมง ระหว่างทางก็แวะตัวเมืองสระบุรี ซื้อของฝากเล็กน้อย ถึงกรุงเทพก็สองทุ่มกว่าๆได้หล่ะมั้ง

เป็นฝั่งเป็นฝาไปอีก 1 คู่ รอดูว่าคู่ต่อไปจะเป็นใคร

ชมตลาด



เคยโดนถามว่าตลาดน้ำบางน้ำผึ้งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากละเวกบ้าน เป็นยังไง น่าไปเที่ยวไหม
ก็ไม่ค่อยจะตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำซักเท่าไหร่ ว่าน่าเที่ยวหรือไม่น่าเที่ยว เพราะสารภาพว่าไปเดินนับครั้งได้เลย
อยู่ใกล้แค่เนี๊ยะแต่ชอบไปเดินซีคอนกับเซ็นทรัล....

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเดินเล่นตลาดน้ำอีกครั้ง เหตุเพราะเพื่อนสมัยเป็นครูของแม่
อยากจะลองมาเที่ยวตลาดน้ำดูซักครั้ง ทั้งๆที่บ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตลาดน้ำแต่ไม่เคยมา เป็นเพราะว่าปัญหาทางสุขภาพ แม่จึงให้เป็นคนขับรถพาแม่กับเพื่อนเที่ยวกันซะหน่อย
เนื่องจากบ้านเพื่อแม่อยู่แถวกรมสรรพาวุธจะมารับตอนช่วงเช้า คนขับรถก็พาขึ้นสะพานสามแยก.... ที่เรียกว่าสะพาน 3 แยกเพราะว่า เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเพียงสะพานเดียวในประเทศที่มีทางขึ้นและลง 3 ทาง ( จะโอเวอร์ไปไหมเนี๊ยะ.... ) ขับขึ้นไปชมวิวของเกาะบางกระเจ้า ที่เค้าเรียกๆกันว่าปอดกลางเมือง เพราะเป็นพื้นที่ ที่ยังมีต้นไม้ขึ้นอยู่เยอะพอสมควร (แต่ไม่รู้จะอีกนานหรือเปล่า) เมื่อไปถึงตลาดน้ำก็พาเดินชมของกิน...ชมเฉยๆยังไม่ได้กิน เพราะว่าเยอะจริงๆ ตัวคนขับรถเองเคยมา แต่ไม่เคยเจอคนเยอะเหมือนวันนี้ มารู้ทีหลังว่าเป็นวันครบรอบวันเกิดของตลาดน้ำ มีแจกคูปองรับของที่ระลึกมากมาย

เดินดูซักพักก็รู้สึกหิว... (จริงๆก็ไม่ได้หิวหรอก..อยากกินมากกว่า) ก็แวะร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ซดกันไปพอรู้รส คนละ 2 ชาม ชามละ 12 บาทเอง.... แล้วก็เดินต่อไปดูร้านขายขนม ร้านขายของที่ระลึกบ้าง เดินอยู่ประมาณ ชั่วโมงเศษๆ รู้สึกว่าคนเยอะจริงๆ ได้ยินคนที่เดินไปเดินมาพูดว่า

"อากาศดีจัง สดชื่น ไม่ต้องไปไกลถึงดอนหวาย..."

ได้ยินก็นึกกระหยิมยิ้มย่องในใจ คนกรุงเทพเนี๊ยะน้า..เชยจริงๆ เค้ามีมาตั้งนานแล้วเพิ่งจะมาเดินเรอะ.....โฮ่ะๆๆๆ...( ว่าตัวเองว่าเป็นบ้านนอกซะงั้น... )

ระหว่างเดินดูของก็มีคนทักแม่หลายคน ไม่ว่าจะเดินไปตรอกซอกซอยไหนก็มีคนเข้ามาสวัสดี แต่คนขับรถเองก็รู้จักมั่งไม่รู้จักมั่ง แม่เรานี่ช่างเป็นคนที่ คนทั้งบางน้ำผึ้งรู้จักกว้างขวางซะจริงๆ อย่างนี้น่าจะส่งสมัครเลือกตั้ง อบต. มั่งซะดีไหมเนี๊ยะ....

หลังจากเดินดูซื้อของฝากกลับบ้านได้ซักพัก ก็พาแม่และเพื่อนกลับ แต่ขากลับไม่ได้พาขึ้นสะพานชมวิวเหมือนตอนขามา แต่คราวนี้พาลงแพข้ามแม่น้ำแทน ได้อารมณ์ตื่นเต้นไปอีกแบบ...
เหลียวมองนาฬิกาใกล้จะเที่ยงแล้ว เป็นที่รู้กันกับแม่ว่า คนขับรถมีธุระต้องไปงานแต่งงานต่างจังหวัดตอนบ่ายโมง เมื่อไปส่งเพื่อนแม่เสร็จก็เลยจำเป็นต้องปล่อยแม่ข้ามเรือหน้าบ้านกลับเอง
ช่างเป็นลูกทรพีจริงๆเลย......( เข็กหัวตัวเองแรงๆ 1 ที )

ก่อนกลับแม่ฝากลูกชมพูจากต้นที่อาแป๋วเคยตกต้นไม้มาแล้ว มาให้สุดที่รัก ว่าแล้วก็นึกถึงคุณอาที่แสนเก่ง ไม่รู้ว่าหายดีหรือยัง ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย



หลังจากฝ่าฟันกับการจราจรอันติดขัดในช่วงเย็นวันศุกร์ต้นเดือน ก็มาถึงงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของ "ฉัต" เพื่อนสมัย ม.ปลาย แอบอยู่นานไม่รู้ว่ากลัวเพื่อนๆจะแย่งจีบ หรือว่าไม่กล้าพามาให้เพื่อนๆเผา(เม้าส์)กันต่อหน้า เหมือนกับพี่แหงวก็ไม่ทราบ
มีคนเคยเห็นเจ้าสาวอยู่เพียงคนเดียวซะหล่ะมั้ง แถมเจอก่อนแต่งงานเพียงไม่นานอีกซะด้วย... แหม๋ช่างแอบเก่งซะจริงๆ

ก่อนเข้างานพอดีเจอกับเพื่อนที่หน้างานพอดีเลยเดินเข้าไปพร้อมกัน ไม่อยากเข้าไปคนเดียวเพราะว่าไม่รู้จักใครเลย เพื่อนเจ้าบ่าวส่วนใหญ่จะเป็นทหารอากาศ ไปคนเดียว เดี๋ยวจะโดนหมั่นไส้ โดนเครื่องบินทิ้งระเบิดที่บ้านซะ...
แล้วงานก็ค่อนข้างจะหรู ไอ้เราก็แต่งตัวเป็นหนุ่ม office แค่เสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวสีดำ เดินเข้าไปแล้วเหมือนเป็นแกะดำ...

เจอเจ้าบ่าวหน้างานก็เข้าไปถ่ายรูปเป็นที่ระทึก.... เป็นครั้งแรกที่ได้เจอหน้าเจ้าสาวของเพื่อนคนนี้ ดูท่าทางจะเป็นคนอบอุ่น... สงสัยเป็นทหารอากาศบินบนที่สูง อากาศก็หนาว เลยต้องหาสาวไปกอดให้อบอุ่น (ไม่ได้แซวอะไรเลยน้าาาา)
เจ้าบ่าวบอกว่ามีเพื่อนๆมากันบ้างแล้วอยู่ข้างใน พอเดินไปสำรวจด้านใน โอ้แม่เจ้า ราตรียาว เสื้อสูต เกลื่อนเลย เดินเข้าไปแล้วมีความรู้สึกเหมือนเด็กเสริฟยังไงไม่รู้ รีบไปหาเพื่อนๆดีกว่า.... จึงมองหาเพื่อนๆ

เป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง เพราะมองเห็นถึงความแตกต่าง เหมือนมีกลุ่มแกะดำยืนอยู่ที่โต๊ะค๊อกเทลกำลังตักกินกันอย่างเมามัน
โดยเฉพาะเสี่ยอ๊อด หลังจากเดินเข้าไปหา เสี่ยอ๊อดก็มาพูดด้วยประโยคแรกว่า "เอาเลยไปตัดอาหารมากินกันก่อนเลย" ....ใจคอจะไม่ทักเพื่อน ถามถึงสาระทุกข์สุขดิบก่อนเลยหรือไงนะ.....

ก็ยืนจับกันเป็นกลุ่มก้อน คุยกันได้ซักพักก็ถึงเวลาเจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นเวที แล้วก็มีกล่าวขอบคุณแขกในงานเล็กน้อย



หลังจากนั้น ก็มีนักเรียนทหารน่าจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉัตหล่ะมั้ง เดินแถวเข้ามาถือกระบี่ให้อาจารย์ฉัตและเจ้าสาวลอดซุมกระบี่



เป็นที่น่าเสียดายที่เก็บภาพมาไม่ได้มากนัก เพราะไม่ได้เอากล้องไป ได้แต่ถ่ายไว้ในกล้องมือถือ ภาพเลยอาจจะไม่ชัด
ก่อนจะขอตัวลาแยกย้ายกันกลับบ้านก็ได้มีโอกาสถ่ายรูปหมู่เป็นที่..ระทึก..อีกครั้ง (หะ..หะ..ล้อเล่นนนน...)
เมื่อขบวนเพื่อนๆเดินออกมาจากงานแล้วต่างคนก็แยกย้ายกันไป แต่รู้สึกว่าจะมีนัดไปต่อกันที่ไหนซักแห่ง เพราะว่าเป็นวันศุกร์ต้นเดือน และอากาศค่อนข้างร้อน
เสี่ยอ๊อดเลยคิดจะไปคลายร้อนซะหน่อย ก็เห็นว่ามีคนติดตามไปด้วย
แต่ตัวคนเขียนเองต้องไปรับสุดที่รักที่กำลังจัดงานสัมนาของบริษัทอยู่แถวบางกะปิ จึงรีบขอตัวไปก่อน เลยไม่รู้ว่าเสี่ยอ๊อดพาเพื่อนๆไปตระเวนคลายร้อนแถวไหน
แต่เท่าที่ได้ยินวีระกรรมเกี่ยวกับเสี่ยอ๊อดในวันถัดมาจากคนที่ไปด้วย... บอกได้คำเดียวว่าผิดหวังจริงๆ......

..........................................



แล้วเพลง "ทหารอากาศขาดรัก" ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป......

ครบแล้ว 90,000 กิโล....



ครบแล้ว 90,000 กิโล น้องตาหวาน หลังจากซื้อมา 1 ปีพอดี
ช่างโชคดีที่ได้น้องตาหวานคันนี้มา ไม่เกเรเลย
มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับสุดที่รักหลายที่โดยมีน้องตาหวานคันนี้พาไป เช่นที่พัทยา
ไม่เหมือนคันก่อนส่วนใหญ่จะขับในเมือง แต่ค่อนข้างจะกินจุเล็กน้อย
กว่าจะถ่ายรูปตอนถึง 90,000 กิโลได้ ลุ้นอยู่หลายภาพเพราะไม่ได้หยุดรถถ่าย....
ถ่ายมันตอนกำลังขับมันนี่แหละ ซ้อมถ่ายตั้งแต่ตอน 89,997...89,998...89,999



ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ 80,000 กิโล จอดนิ่งๆให้ถ่ายเลย

HTC TOUCH Fever

หายไปเป็นเดือน แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาเขียนอีกครั้ง ช่วงที่หายๆไปก็มีเรื่องหลายอย่าง แต่สดๆร้อนๆที่เป็นกระแสเทคโนโลยี คือ HTC TOUCH



เริ่มมาจากว่า สุดที่รักอยากเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องใหม่เพราะว่าเครื่องเดิมมันรวนๆ พอดีกับช่วงนั้นมีโปรโมชั่นเปลี่ยนเครื่องใหม่เบอร์เดิมของมือถือค่ายนึง
ก็ไปเปลี่ยนมาแต่ว่าเครื่องที่ไปเปลี่ยนมา มันก็งั้นๆ ใช้แค่โทรศัพท์กับเป็นนาฬิกาปลุก เมื่อเปลี่ยนได้แล้วสุดที่รัก็ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่หรอก ฟังก์ชั่นทั้งหลาย
จริงๆแล้วโทรศัพท์เอง..ทำได้ทั้งฟังเพลง เล่นเนต และอื่นๆ.......

ผ่านไปหลายเดือนอยู่ มือถือค่ายเดิมออกโปรโมชั่นใหม่มา เปลี่ยนเครื่องใหม่เบอร์เดิม แต่ว่าคราวนี้มีโทรศัพท์ที่เป็น PDA ในตัวที่ชื่อว่า HTC TOUCH สุดที่รักก็ออกอาการเสียดายซิ เพิ่งจะไปเปลี่ยนมาไม่กี่เดือนเอง ออกรุ่นใหม่มาให้ยั่วน้ำลายอีกแล้ว ..(จิงๆแล้วคนยุยงส่งเสริมก็คนเขียนนี่แหละ)
บวกกับมีน้องที่ office ของสุดที่รักเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่เป็น PDA Phone แต่เป็นรุ่นอื่น ทำให้สุดที่รักอยากเปลี่ยนใหม่ยิ่งขึ้น
เลยติดต่อไปทางศูนย์บริการของโทรศัพท์ค่ายนั้น แต่ได้รับการตอบกลับมาว่า

"คุณเพิ่งใช้โปรโมชั่นเครื่องใหม่เบอร์เดิมไป ต้องรอให้ครบ 1 ปีก่อนนะคะ ถึงจะใช้โปรโมชั่นใหม่นี้ได้ค่ะ"

สุดที่รักก็ไม่ค่อยพอใจซิ เอะ...ก็ตอนที่ไปเปลี่ยนตอนแรกมันไม่มีให้เลือกรุ่นนี้นี่ ทำไมหล่ะก็อยากเปลี่ยน แถมจะใช้แพกเกจโทรแพงกว่าเดิมด้วย.. ทำไมไม่เปลี่ยนให้หล่ะ.........
ด้วยความไม่พอใจ จึงวางแผนปิดเบอร์ของค่ายโทรศัพท์ดังกล่าว แล้วก็จะหันไปซื้อเครื่องเปล่าเบอร์ใหม่ จากค่ายอื่นแทน

ก็หาข้อมูลของเครื่องนี้อยู่นานว่ามันทำอะไรได้บ้าง แต่ที่ชอบก็คือ"มันสวย"เป็นเหตุผลสำคัญ ราคาตอนนั้นอยู่ที่ 19,900 ราคาศูนย์..... หลังจากหาข้อมูลอยู่ซัก 1 สัปดาห์ สุดที่รักก็จูงมือพาไปเดิน มาบุญครอง...... ตาลายจริงๆ เยอะไปหมด แวะถามร้านนู้น ดูราคาร้านนี้ เดินอยู่ 3 รอบ ก็มาสรุปที่ร้านนึง ราคา 18,900 ประกันศูนย์ ไม่รวมลงโปรแกรมต่างๆ จะเอามาลองลงเอง
ได้กลับมาก็จัดการปู้ยี่ปู้ยำเครื่องที่ได้มา แล้วก็ให้สุดที่รักเอาไปใช้ที่ office ให้คนใน office อิจฉาเล่นๆ เครื่องใหม่น้าาา...สวยด้วยยย



ยังไม่พอ ยังไปเดินมาบุญครองอีกรอบ เพื่อไปซื้อซองใส่เครื่อง
ราคาจำไม่ได้ ประมาณ 300-350 ได้หล่ะมั้ง เป็นซองหนัง และยังไม่หมด..... ซองยังไม่สวยเลย แวะซื้อสติกเกอร์เพชร ที่เป็นเม็ดสีๆหลายๆสี ติดซองใส่ HTC อีกประมาณ 400 กว่าบาท (น่าจะมากกว่านั้นนะ.......)
กลับมาบ้าน สุดที่รักก็จัดแจงเอาสติกเกอร์ที่ซื้อมาออกมาแปะซองหนังอย่างสวยงาม ไฮโซโก้หรูเป็นที่สุด รุ่งขึ้นก็เช่นเคย.... ตาบอดกันไปทั้ง office เพราะฤทธิ์ แสงเพชรจากซองใส่ HTC ของสุดที่รัก

(ระวังแสงจากเพชรเข้าตา กรุณาใส่แว่นกันแดดก่อนดูรูป...)


ไม่นาน... ทางร้าน DATA IT จัดโปรโมชั่นเครื่อง HTC TOUCH ราคาเดียวกับเครื่องศูนย์เลย 19,900 แต่ว่า..... เมื่อมีบัตรเครดิต KTC สามารถผ่อน 0 เปอร์เซ็นต์ 10 เดือน อุปกรณ์ครบทุกอย่าง แถมคู่มือของ HTC อีก 1 เล่ม และหน้ากากซิลิโคน 4 สี 4 อัน แต่ไม่หมดแค่นั้น โปรโมชั่นยังบอกว่าไม่ต้องผ่อน 2 เดือน หรือ ราคาเครื่องหายไปเลย เหลือ 15,000 กว่าบาท

โอ้แม่เจ้า.... ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ราคาหายไป 4 พัน แต่ว่าเค้าจัดโปรโมชั่นนี้ที่ DATA IT สาขาละ 5 เครื่องเท่านั้น

หัวหน้าที่ office ของสุดที่รักก็เลยทำท่าสนใจ เพราะเห็นจากที่สุดที่รักเอาตัวเป็นๆไปโชว์ยั่วน้ำลายคนใน office ก็เลยควักบัตรจ่ายไป 1 เครื่อง ได้มาครองสมใจ ทามกลางความเสียดายของสุดที่รักว่า "ทำไมไม่มีโปรโมชั่นให้มันเร็วกว่านี้..."

ยังไม่จบแค่นั้น..... หลังจากนั้นไม่กี่วัน พี่ๆที่ทำงานในเครือบริษัทเดียวกันของสุดที่รัก ได้ข่าวถึงความไฮเทคและราคาถูก ก็เลยถอยออกมาอีก 2 เครื่อง

เป็นอันว่าพี่ที่ office ของสุดที่รัก โดนสุดที่รักปล่อยไวรัสความไฮเทคและความสวยของ HTC TOUCH ไปหลายคน แต่โดนหนักที่สุดคือ สุดที่รัก ที่ได้แต่เสียดายของแถม และราคาที่ต้องจำไปอีกนาน .....น่าสงสารสุดที่รักจัง

Meeting สวิงสุดๆ!!!



รำลึกความหลังเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ได้มีโอกาสพบเจอเพื่อนมัธยมสมัย ม.ต้น
ใช่ว่าอยู่ดีๆจะมาเจอกันโดยมิได้นัดหมาย
แต่เหตุเกิดเพราะว่าเพื่อนคนนึงซึ่งไม่ได้เจอกันนานแล้ว นึกยังไงก็ไม่รู้ (ยังไม่ได้ถามเหมือนกันว่านึกยังไง...) ค้นหาชื่อเพื่อนๆหรืออะไรซักอย่าง ดันมาเจอ blog แห่งนี้ แล้วจำได้ว่าเป็นเพื่อนกันสมัย ม.ต้น
ก็ได้ส่งเมลล์มาทักทายและรู้เรื่องของงานแต่งงานที่ผ่านมา บ่นว่าอยากเจอเพื่อนหลายๆคน เลยมีความคิดจะจัด Meeting พอดีได้โอกาสเหมาะช่วงต้นเดือนกุมภา ก็นัดเจอกันที่ร้านอาหารที่มีคาราโอเกะ แถวๆถนนบางนาตราด

ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมากันเยอะ คิดว่าซัก 6 - 7 คนก็ดีแล้ว วันนั้นไปถึงที่ร้านก็ตกใจ มากันเยอะมาก นับไปนับมา ดูเหมือนจะเยอะกว่างานวันเด็ก ที่เพิ่งนัดเจอเพื่อนๆม.ปลาย ซะอีก หลายคนไม่ได้เจอกันนานมาก ตั้งแต่เรียนจบม.ต้นไป



...บางคนก็เห็นกันจนเบื่อตั้งแต่ ม.ต้น ถึง ม.ปลาย ยัน มหาลัย.......



ส่วนใหญ่ที่มากันในวันนี้ ออกตัวไว้ว่าโสดกันทุกคน เพราะไม่มีใครเอาผู้บังคับบัญชามาด้วยซักคน....
แต่ตอนจะกลับรู้สึกว่าจะมีโทรศัพท์เข้ามาเป็นระยะๆ คาดว่าคงจะเป็นคนขับรถ... (เดี๋ยวนี้เพื่อนๆเป็นอาเสี่ยอาซ้อกันเยอะ มีคนขับรถส่วนตัวมารับด้วย)

หวังไว้ว่าคงจะมี Meeting กันอีกหลายๆครั้ง

ดูรูปได้เต็มๆที่นี่เลย